แก้วมังกรคืออะไร
แก้วมังกร เป็นผลไม้ตระกูลเดียวกับต้นกระบองเพชรประเภทเลื้อย ชื่อ "แก้วมังกร" น่าจะเป็นเพราะผลของแก้วมังกรลักษณะคล้ายลูกแก้ว ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างพญามังกรสองตัวที่เผชิญหน้ากัน
ประวัติ
ต้นแก้วมังกร มีพื้นเพดั้งเดิมอยู่ในอเมริกากลาง เข้ามาในเอเชียที่เวียดนามก่อน โดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้วและเพิ่งเข้ามาในไทยเมื่อประมาณ 5 ปี แต่เป็นพันธุ์เนื้อในขาวส่วนพันธุ์เนื้อในแดงที่ชื่อแดงสยามเป็นพันธุ์มาจากไต้หวัน เมื่อประมาณ 1-2 ปีนี้เองมีลำต้นยาวประมาณ 5 เมตร มีรากทั้งในดินและรากอากาศ ชอบดินร่วนระบายน้ำดี ชอบแสงแดดพอเหมาะ โล่งแจ้ง แต่ไม่แรงกล้าเกินไป ดอกขนาดใหญ่ยาวประมาณเกือบหนึ่งฟุต เริ่มบานตอนพระอาทิตย์ตกเพียงคืนเดียวดอกหุบตอนพระอาทิตย์ขึ้นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ
แก้วมังกรเป็นไม้เลื้อย มีอายุยาวนานหลายปี ลำต้นมีลักษณะเป็น 3 แฉกมีสีเขียว อวบน้ำ ซึ่งแท้จริงแล้วส่วนนั้นคือใบที่เปลี่ยนรูปไป ส่วนลำต้นที่แท้จริงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางของแฉกทั้ง 3 บริเวณตาข้างจะมี
หนาม 1-5 หนาม ดอกจะเกิดบริเวณปลายกิ่งในช่วงเดือนเมษายน เมื่อบานมีลักษณะคล้ายปากแตร จะบานในช่วงหัวค่ำจนถึงเช้า เมื่อติดผลแล้ว ผลอาจมีสีชมพูหรือเหลือง เนื้อผลภายในมีทั้งสีขาวและแดงขึ้นอยู่กับ
พันธุ์ และมีเมล็ดสีดำอยู่ในเนื้อผล
ลูกมังกร หรือดราก้อนฟรุต เป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูลแคคตัสหรือสกุลหนึ่งของกระบองเพชร สามารถปลูกได้ดีในทุกสภาพพื้นที่จึงเป็นที่นิยมปลูกกันมากอย่างแพร่หลาย ผลจะมีลักษณะเป็นสันเหลี่ยมทู่ ๆ เรียงรายอยู่ทั่วไปบนผิวเปลือก เปลือกหนาสีออกชมพูอมส้ม ภายในผลเมื่อผ่าออกจะมีเนื้อสีขาวขุ่นภายในเนื้อก็จะมีเมล็ดเล็ก ๆ ซึ่งใหญ่กว่าเมล็ดงานิดเดียวฝังตัวอยู่เต็มไปหมด เมื่อรับประทานจะมีรสชาติหวานเย็น กรุบกรับ ไม่ระคายคอ ลูกมังกรเป็นที่นิยมกันมาในหมู่นักบริโภคชาวต่างประเทศที่ชอบลองของแปลก ซึ่งจากการศึกษาวิจัยสภาพอากาศของประเทศเวียดนามกับประเทศไทยพบว่า ไม่แตกต่างกันมานัก จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีว่าโอกาสที่ลูกมังกรจะมาผงาดในบ้านเรานั้น เป็นไปได้สูงมาก ประกอบกับลูกมังกรยังเป็นพืชที่ทนแล้ง ปลูกได้ทุกสภาพพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยที่สามารถปลูกได้ โดยใช้พื้นที่ปลูกเพียงต้นละ 1 ตารางเมตรเท่านั้น ฉะนั้น จึงสามารถปลูกได้รอบ ๆ บริเวณบ้านโดยไม่จำกัด เนื่องจากเป็นพืชที่ทนความแห้ง
แล้ง ทนต่อโรคและแมลง จึงไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีใด ๆ และนับได้ว่าเป็นผลไม้ที่ค่อน
ข้างปลอดภัยจากสารพิษอีกด้วย
สำหรับผลของลูกมังกรนั้น เหมาะสมต่อการส่งเสริมเป็นสินค้าออกทางทวีปยุโรปและอเมริกาอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นผลไม้รสไม่หวานจัด ฝรั่งนิยมรับประทานหรือคนชรา คนเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ที่ไม่สามารถบริโภคผลไม้ที่มีรสหวานจัดได้ ซึ่งปัจจุบันในบ้านเราจะจำหน่ายผลละ 120-150 บาท โดยผลผลิตที่ได้รุ่นที่ 1 ซึ่งมีอายุ 2 ปีขึ้นไปนั้นจะให้ผลผลิตประมาณ 30 ผลต่อต้น และสามารถเพิ่มผลผลิตได้ถึง 2 เท่าในปีต่อไป โดยเกษตรกรต้องตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ลูกมังกรได้แตกกิ่งใหม่ที่ปลายยอด นั่นคือ ผลผลิต 1 ผล ต่อ 1 กิ่งนั่นเอง และสามารถนำกิ่งนั้นไปปักชำ เพื่อขยายพันธุ์ต่อไปได้ นอกจากการขยายพันธุ์โดยการปักชำแล้ว ยังสามารถขยายพันธุ์ด้วยเพาะเมล็ด และการเ
พาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้อีกด้วย แต่การปักชำจะทำได้สะดวกและให้ผลแน่นอนที่สุดกว่าทุกวิธี ลูกมังกรชอบดินที่มีการระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง ความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 6.3-6.8 ความชื้น 65% เลี้ยงง่าย ปัญหาเกี่ยวกับโรคและแมลงรบกวนมีน้อย หรือแทบไม่มีเลย นอกจากการระบายน้ำไม่ดี วัสดุที่ใช้ปลูกแฉะเกินไปก็จะส่งผลให้ลำต้นของลูกมังกรเน่าได้
เแก้วมังกรเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่เข้ามาเปิดตลาดเอเชียในสหัสวรรษนี้ เดินหน้าไปพร้อมกับไต้หวันและญี่ปุ่น
วิธีการปลูกและดูแลรักษาต้นแก้วมังกร
วิธีการปลูก
1. ขั้นตอนการเตรียมเสา
- ใช้ท่อใยหินกว้าง 4-6 นิ้ว สูง 1.5-2.0 เมตร (ตามความชอบและงบประมาณ ท่อละ 40-70 บาท)
- นำท่อมาเจาะรูที่ปลาย 4 รู เพื่อใช้เหล็กเส้นสอดเข้าไป
- ตัดเหล็กเส้นให้ได้ขนาดตามยางรถ ใช้เสาละ 2 เส้น
- นำเหล็กเส้นสอดเข้าไป แล้วนำยางรถมาวาง ใช้ลวดมัดให้แน่นหนา แข็งแรง
เจาะรูทั้งสี่ด้าน
ปลูกซัก 4-5 ต้น แล้วใช้เชือกมัดไว้
วางยางรถลงบนเหล็กเส้นแล้วมัดลวดให้แข็งแรง
2. ขั้นตอนการปลูก(ควรปลูกในฤดูฝน)
- ขุดหลุมให้ได้ขนาด 60x60x60 เซนติเมตร
- นำเสาที่เจาะรูแล้วใส่ลงไปในหลุม แล้วใช้ดินกลบเล็กน้อย
- นำปุ๋ยคอกใส่ลงไปในหลุมจนเกือบเต็มหลุม
- นำต้นแก้วมังกร 4-5 ต้น ปลูกรอบๆ โคนเสาแล้วใช้ดินกลบให้เต็มหลุม
- ใช้เชือกหรือผ้ามัดต้นแก้วมังกรไว้เพื่อไม่ให้ล้มหรือหัก
ที่ปลายยอดกำลังออกดอก
วิธีการดูแลรักษาต้นแก้วมังกร
1. ขั้นตอนการดูและต้นแก้วมังกร
ต้นแก้วมังเป็นต้นไม้ประเภทเดียวกันกับกระบองเพชร จึงไม่ชอบน้ำ ในฤดูหนาวและฤดูร้อนควรให้น้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ส่วนในฤดูฝนไม่ต้องให้น้ำเลย
- การให้ปุ๋ย ควรให้ปุ๋ยปีละ 2-3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ควรให้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 (ถ้าให้ปุ๋ยคอกรสชาติของแก้วมังกรจะออกหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ที่สำคัญผมชอบด้วย และดินจะไม่แน่น ) ครั้งที่ 2 ในช่วงเดือนมกราคมเป็นการบำรุงต้นให้สมบูรณ์ และใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยสูตร 15-15-15 ครั้งที่ 3 ในช่วงเดือนเมษายนเป็นการเตรียมและเร่งให้ต้นแก้วมังกรออกดอกควรใช้ปุ๋ยสูตรที่มีตัวหลังเยอะหน่อย เช่น 15-17-18 หรือสูตร 10-10-40 เป็๋นต้น
- ถ้าต้นแก้วมังกรออกยอดสูงพ้นเกิดเสานิดหน่อย ให้ใช้มือเด็ดปลายยอดทิ้ง เพื่อเป็นการทำให้แก้วมังกรแตกยอดออกมากๆ
- หญ้าที่ขึ้นใกล้ๆ โคนต้น ควรถอนออกเป็นประจำ เพื่อให้ต้นแก้วมังกรได้รับอาหารเต็มที่ไม่ต้องแบ่งปันให้กับหญ้า
- เมื่อครบ 2 ปี หลังจากต้นแก้วมังกรออกผลจนหมด ในช่วงเดือนตุลาคมควรตัดแแต่งกิ่งให้สวยงาม เพื่อเป็นการทำให้ต้นแก้วมังกรแตกกิ่งได้มาก และควรตัดทุกๆ 2 ปี
ดอกที่สมบูรณ์
ดอกกำลังจะบาน
2. ขั้นตอนการเก็บผลผลิต
- ต้องให้ผลแก้วมังกรมีสีแดงทั่วทั้งผล ซึ่งอายุของผลแก้วมังกรตั้งแต่ออกดอกจนเก็บผลได้ประมาณ 2 เดือน
- เมื่อผลแก้วมังกรสุกเต็มที่แล้วให้ใช้กรรไกรตัดกิ่งตัดผลออกมาจากกิ่ง (อย่าให้กิ่งเสียหาย)
กำลังออกผลและดอกจะเหี่ยว
ผลที่โตเต็มที่ใกล้จะสุกแล้ว
ผลที่สุกเต็มที่พร้อมจะเก็บแล้ว
การขยายพันธ์
วิธีการขยายพันธ์แก้วมังกรที่ง่ายและสะดวก คือการปักชำแต่มีเทคนิคที่สำคัญหลายประการคือ เกษตรกรต้องเลือกเฉพาะกิ่งที่แก่เท่านั้น อย่าใช้กิ่งอ่อนเพราะจะเน่าเสียก่อน เมื่อได้กิ่งแก่มาปักชำส่วนใหญ่จะรอดตาย 100% กิ่งแก่ในแต่ละกิ่งสามารถตัดเป็นท่อนได้หลายท่อน ตัดให้มีความยาวประมาณ 12 ฟุต ก่อนที่จะปักชำให้เอาทางโคนปักลง (สังเกตจากทางโคนจะมีหนามตั้งขึ้น) ก่อนที่จะนำกิ่งมาปักชำ นั้น ควรจะนำกิ่งแก่มาจุ๋มในน้ำที่ผสมน้ำยาเร่งราก (ใช้น้ำยาเร่งรากในอัตราเข้มข้นกว่าปกติ) จุ๋มกิ่งแก้วมังกรลงไปในน้ำยาลึกประมาณ 10 ซม.แล้วนำมาตั้งเรียงไว้ในร่มเป็นเวลา 7-10 วัน จนกิ่งเริ่มเหี่ยว ตั้งกิ่งให้ตรง สำหรับเกษตรกรที่เริ่มปลูกควรจะเลือกซื้อกิ่งประเภทนี้ที่ผ่านการแช่น้ำยาเร่งรากแล้ว เพราะจะสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุดและขนได้ครั้งละปริมาณมาก หลังจากได้กิ่งไปแล้วนำไปปักชำในแปลงเพาะที่เตรียมเอาไว้ สำหรับกิ่งประเภทที่นำลงถุงแล้วจะเคลื่อนย้ายค่อนข้างลำบากและขนได้ครั้งละปริมาณน้อยรวมถึงมีราคาที่แพงกว่าไม่เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ปลูกเป็นแปลงใหญ่
นี่คือภาพที่สวนของผมเอง รู้สึกว่าหญ้าจะขึ้นเยอะมากเลย
การเตรียมแปลงเพาะชำกิ่งหลังจากปรับพื้นที่ดินให้เรียบแล้วใส่ขี้เถ้าแกลบดำลงในแปลงให้มีความหนาประมาณ 1 คืบ ถ้าแปลงเพาะชำอยู่กลางแจ้งจะต้องมุงด้วย ตาข่ายพรางแสงชนิด 60% จากนั้นนำกิ่งที่ชุบน้ำยาเร่งรากแล้วไปปักชำให้ลึกประมาณ 10 ซม. รดน้ำ 2-3 วันต่อครั้งก็เพียงพอแล้ว ถ้ารดบ่อยเกินไปอาจจะทำให้เกิดปัญหากิ่งเน่าได้ หลังจากปักชำไปได้นานประมาณ 1 เดือนก็จะออกรากและนำไปปลูกในแปลงได้ วิธีการสังเกตว่ากิ่งแก้วมังกรที่นำไปปักชำนั้นมีรากที่ สมบูรณ์แล้วสังเกตได้ว่าจะมีการแตกยอดอ่อนออกมาใหม่ คัดเลือกเฉพาะกิ่งที่แตกยอดออกทยอยไปปลูก
ขณะนี้เป็นที่ยืนยันแล้วว่าสายพันธุŒแก้วมังกรที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรได้ขยายพื้นที่ปลูกในเชิงพาณิชย์จะมีเพียงพันธ์ไทยและพันธุŒเวียดนามเท่านั้น เนื่องจากพบว่ามีบางสายพันธ์ จะต้องใช้วิธีการช่วยผสมเกสรถึงจะติดผล
นี่ก็ภาพสวนอีกมุมหนึ่ง บางส่วนจะปลูกแซมกับต้นหม่อน
คุณค่าทางอาหารและสมุนไพร(ยา)
พืชพวกกระบองเพชรมีสารมิวซิเลจ (Mucilage) จำนวนมาก สารพวกนี้ คือ โปลี่แซคคาไรด์เชิงซ้อน ลักษณะคล้ายวุ้นเหลว หรือเยลลี่ ดูดน้ำ ช่วยคุมน้ำตาลกลูโคลในคนที่เป็นเบาหวาน โดยไม่พึ่งอินซูลินสามารถลดไตรกลีเซอร์ไรด์ และคอเรสเตอรอล ชนิดความหนาแน่นในเลือดต่ำ นอกจากนี้ยังเพิ่มธาตุเหล็ก บรรเทาโรคโลหิตจาง ผลแก้วมังกรมีคุณค่าทางอาหาร มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิตตับ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ และต่อมลูกหมาก เสริมสร้างภูมิต้านทานกระดูก ฟัน และกล้ามเนื้อ
แก้วมังกร ปัจจุบันกลายเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ใช้บริโภคลดน้ำหนัก และเมื่อปากต่อปากบอกว่าได้รับประทานแล้วอิ่มลดน้ำหนักได้จริง ผลไม้ชนิดนี้จึงเริ่มเป็นที่นิยม และมีเกษตรกรในประเทศไทยปลูกกันมากขึ้น ทั้งที่รากเหง้าของไม้พันธุ์นี้จะเกิดและเติบโตเป็นพันธุ์แท้อยู่ที่ประเทศเวียดนาม ถือเป็นแหล่งปลูกแก้วมังกรที่มีมาช้านานและคนเวียดนามจะรู้จักกันดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น